วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการจด Domain Name

Assignment  6  

1. เข้า Website www.GoDaddy.com จากนั้นทำการ Register Account  ให้เรียบร้อย




หลังจากที่ลงทะเบียนเพื่อสมัครสมาชิกเรียบร้อยแล้วให้เรามาที่ Menu  Domains > Domain nane Registration





2. จากนั้นใส่ชื่อ Domain ที่เราต้องการจด Domain ลงไป เช่น testwindows . com หรือเราจะเลือก .org , .net ก็แ้ล้วแต่เราครับ จากนั้นก็กด GO







3. ถ้า Domain ตัวนั้นมีคนจด Domainแล้ว มันก็จะขึ้นเครื่องหมาย กากบาท  ซึ่งเราก็ต้องหาชื่อ Domain Name ชื่อใหม่




4. ถ้าเราเลือก Domain แล้วมีเครื่องหมายถูกขึ้นก็แปลว่าเราสามารถ จด Domain ตัวนั้นได้ จากนั้นก็กด Continue to Registration




5. มันเป็นการโฆษณา เพื่อให้เรากด Domain เพิ่มครับ ถ้าไม่สนใจก็ให้กด No Thanks ไป ในที่นี้ก็กด No Thanks ไป





6. ในขั้นตอนนี้ เค้าจะถามเราว่าจะจด Domain กี่ปีในที่นี้ผมขอจด Domain 1ปี ก่อนแล้วค่อยต่อไปเรื่อยๆ
ส่วน Certified Domain เลือกเป็น Uncertified  เวลาเราเรียกชื่อ website ก็จะเป็น http://www.itithai.com
แต่ ถ้า่เราเลือก Certified เวลาเราเรียกชื่อ website เราก็ต้องเรียกว่า https://www.itithai.com




7. ในที่นี้เลือกเป็น Standard  ถ้าเลือก packet อื่นก็ต้องจ่ายเพิ่ม เลือก Packet นี้ถ้าจด Domain ธรรมดา






8. เป็น Options ในการกด Domain ครับว่าเราจะเพิ่ม การใช้ mail , webserver เข้าด้วยไหม ในที่นี้แค่จด Domain เฉยๆ ส่วน Hosting ไปเช่าอีกค่ายหนึ่ง เลยกด Next ไปเลย

 



9. หน้านี้จะเป็นหน้าสรุปเงินที่เราต้องจ่้ายกับ จำนวนปีที่เราจด Domain กับ GoDaddy
ด้านขวาจะมี ใ้ห้กด Enter Promo or Source Code นะครับ ในส่วนนี้จะเป็น คูปอง ส่วนลดของ GoDaddy ใครมีก็ใส่ลงไปเลยนะ จะได้ส่วนลดด้วย






10. ในขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนในการจ่ายเงินในที่นี้จ่ายผ่านบัตร เครดิต ก็ให้กรอก หมายเลขบัตรไป , type บัตร
จากนั้น ก็ติ๊กยอมรับกฎแล้วก็กด Order now





 เท่านี้ก็เสร็จสิ้นกับการจด Domain กับ GoDaddy แล้ว


วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สายสัญญาณ

Assignment4

ให้นักศึกษาทำการพิจารณาจากเงื่อนไขต่อไป นี้ พร้อมให้เหตุผลประกอบว่าเหตุใดควรเลือกใช้การเชื่อมต่อแบบใยแก้วนำแสง ( Fiber Optic Cable) หรือ แบบสายทองแดง ( Coaxial Cable)


1.ต้องการความเร็วในการเชื่อมต่อเครือข่ายสำหรับเครื่อง Desktop





ตอบ       ควรใช้การเชื่อมต่อสายสัญญาณโดยใช้ทองแดงแบบ Unshielded Twisted Pair : UTP สาย เคเบิลประเภทนี้มักจะเป็นการรวมกันของสาย 4 คู่ในส่วนห่อหุ้มภายนอกเดียวกัน แต่ละคู่จะพันกันเป็นเกลียว ซึ่งจะมีจำนวนรอบในการพันต่าง ๆ กันไป  การพันเป็นเกลียวทำให้ไม่เกิดสัญญาณรบกวนจากสายคู่อื่น ๆ ในสายเดียวกันและจากอุปกรณ์ชนิดอื่น เช่น มอเตอร์ ตัวส่งสัญญาณ ตัวแปลงต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม สาย UTP  มักจะนำมาใช้ในสายโทรศัพท์ซึ่งสายโทรศัพท์ไม่มีการพันเป็นเกลียว และอุปกรณ์อื่น ๆ ทีต้องการส่งข้อมูล
                ในปัจจุบันได้ปรับปรุงคุณสมบัติจนสามารถใช้กับสัญญาณความถี่สูงได้ สายยูทีพีใช้ลวดทองแดง 8 เส้น ขณะที่ในระบบโทรศัพท์จะใช้เพียง 2 หรือ 4 เส้น ซึ่งต่อเข้ากับหัวต่อแบบ RJ45 ซึ่งเป็นหัวต่อที่มีลักษณะคล้ายกับหัวต่อในระบบโทรศัพท์ทั่วไป แต่ในระบบโทรศัพท์จะเรียกหัวต่อว่า RJ11 การที่มีสายทองแดงไว้หลายเส้นก็เพื่อให้หัวต่อ RJ45 ซึ่งเป็นหัวต่อมาตรฐานสามารถเลือกใช้งานได้ในหลายๆ รูปแบบ เช่น
- ใช้สายทองแดงตั้งแต่ 3-8 เส้น เป็นสายสัญญาณ 10 เมกะบิตของอีเธอร์เน็ตแบบ 10BASE-T
- ใช้สายทองแดง 4 เส้น เป็นสายสัญญาณ 100 เมกะบิตของอีเธอร์เน็ตแบบ 100BASE-T
- ใช้สายทองแดง 8 เส้น เป็นสายสัญญาณของเสียง
- ใช้สายทองแดง 2 เส้น สำหรับระบบโทรศัพท์

ข้อดี 
1. ราคาถูก
2. มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
3. ติดตั้งง่าย และมีน้ำหนักเบา

ข้อเสีย
 1. ถูกรบกวนจากสัญญาณภายนอกได้ง่าย
 2. ระยะทางจำกัด



2.ต้องการให้ประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อระหว่างวงแลนมีความเร็วสูง
 




  ตอบ   ควรใช้สายไฟเบอร์-ออปติก ( Fiber-Optic Cable ) เนื่องจากสัญญาณที่ส่งไปบนตัวนำเป็นคลื่นแสง ทำให้สายไฟเบอร์-ออปติกไม่ถูกรบกวนจากกระแสไฟด้านนอก แก้วแต่ละเส้นส่งสัญญาณได้ทางเดียวเท่านั้น ดังนั้นสายเคเบิลจึงแบ่งเป็น 2 ส้นแยกกัน ในแต่ละส่วนจะมี Kevlar Fiber เพื่อความแข็งแรงของสาย และชั้นส่งกำลังเพิ่มที่ทำด้วยพลาสติกหุ้มรอบแก้ว ตัวเชื่อมต่อพิเศษทำให้การเชื่อมต่อเป็นการสื่อสารด้วยแสงทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวยิงเลเซอร์และเป็นตัวรบแสงด้วย เนื่องจากสายชนิดนี้ไม่มีการถูกรบกวนและคลื่นแสงสามารถส่งไปได้ไกลหลายไมค์ โดยไม่สูญเสียความแรงของคลื่น ทำให้สายไฟเบอร์-ออปติกสามารถส่งข้อมูลได้ไกลและเร็ว 
ซึ่ง ประกอบด้วยเส้นใยที่ทำมาจากใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งจะอยู่ที่แกนกลาง ส่วนอีกชนิดหนึ่งอยู่ที่ด้านนอก ซึ่งใยแก้วทั้งสองจะมีดัชนีการสะท้อนแสงต่างกัน ทำให้แสงซึ่งถูกส่งออกมาจากปลายด้านหนึ่งสามารถส่งผ่านไปอีกด้านหนึ่งได้ ใช้สำหรับส่งข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง มีข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นจำนวนมาก และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณไฟฟ้ารบกวนมาก ความเร็วในการส่งข้อมูล 1 Gbps ระยะทางในการส่งข้อมูล 20-30 mile 
ข้อดี
  1. มีความเร็วสูง
  2. ไม่มีการส่งผลรบกวนจากคลื่นแม่เหล็ก
  3. การดักสัญญาณไม่สามารถทำได้
ข้อเสีย
  1. มีราคารแพง
  2. การติดตั้งต้องใช้ความชำนาญ

 3.ระยะทางที่สายสัญญาณเดินทางผ่านต้องผ่านเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้า





ตอบ  สายทองแดงแบบสายโคแอ็กซ์เชียล ชื่อของสายเคเบิลชนิดนี้ได้มาจากตัวเหนี่ยวนำ 2 ตัวที่ใช้แกนกลางเดียว สายโคแอกเชียลมีทองแดงที่สานกันเป็นป้องกันตัวเหนี่ยวนำตัวกลางจากกระแส ไฟฟ้าภายนอก ในคำกำหนดลักษณะของทั้งอีเทอร์เน็ตและ ARCnet มีสายโคแอกเชียลปรากฎอยู่ด้วย แต่ 2 ระบบนี้ต้องการสายต่างชนิดกัน






 สาย สัญญาณที่ใช้สายตัวนำเส้นเดียวตรงกลางล้อมรอบด้วยชั้นฉนวน และมีโลหะถักหุ้ม สายโคแอกเชียลหรือที่เรียกว่า “10Base2” คือสายสัญญาณที่ใช้ในระบบ LAN แบบบัสมี 2 แบบคือแบบหนา ( Thick Coaxial) และแบบบาง ( Thin Coaxial) แต่ที่จะนำมาใช้คือแบบบาง หรือเรียกอีกย่างหนึ่งว่า RG-58 ซึ่งมีความต้านทาน 50 โอห์ม การต่อสายเข้ากับการ์ด LAN ที่มีหัวแบบ BNC (British Naral Connector) โดยผ่านตัว T-Connector และที่ปลายสายทั้งสองด้าน จะต้องปิดด้วยหัวจุก Terminator ขนาด 50 โอห์มเสมอ ระยะทำการของสายจากเครื่องแรกจนกระทั่ง เครื่องสุดท้ายไม่เกินประมาณ 185 เมตร  






4.ต้องการระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบและซ่อมบำรุงกรณีเกิดปัญหาการเชื่อมต่อ

ตอบ  สายทองแดง เพราะ  การเชื่อมต่อแบบทองแดงนั้นมีข้อดีที่ว่า สามารถควบคุมจุดการเชื่อมต่อและการแพร่กระจายของข้อมูลได้ดี อีกทั้งยังมีราคาถูก และสามารถทำงานร่วมกับระบบการเชื่อมต่อแบบดั้งเดิมโดยไม่ต้องมีการปรับแต่งเพิ่มเติมมากนัก 




5.รองรับการเพิ่มจุดการเชื่อมต่อสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ notebook เพิ่มเติมอย่างน้อย 4 เครื่อง 

ตอบ  สายทองแดงเพราะ  การใช้สายสัญญาณแบบทองแดงนั้นเป็นสายสัญญาณที่ได้รับความนิยมในการใช้งาน ระบบเครือข่ายมากที่สุดในปัจจุบัน มีข้อดีในเรื่องราคาและความง่ายดายในการติดตั้ง สายชนิด มีราคาที่ต่ำ สำหรับความเร็วในการเชื่อมต่ออยู่ในเกณฑ์ดี สามารถควบคุมจุดการเชื่อมต่อและการแพร่กระจายของข้อมูลได้ดี






วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความหมายของคำศัพท์


Browser คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถท่องเที่ยวไปในโลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร้ขีดกั้นทางด้านพรมแดน

Client คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไปร้องขอบริการและรับบริการอย่างใดอย่างหนึ่งจาก Server

DNS คือสิ่งที่นำมาอ้างถึงหมายเลขเครื่อง หรือ หมายเลข IP Address

Download คือการโอนย้ายไฟล์หรือข้อมูลจากที่หนึ่งไปอีกทีหนึ่ง

E mail คือวิธีการในการเขียนส่ง หรือรับข้อความผ่านทางการเครือข่ายเชื่อมโยงระบบอิเล็กทรอนิกส์

FreeWare คือ  ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้ในทุกจุดประสงค์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

Home page คือ หน้าแรกที่แสดงข้อมูลของเว็บไซต์ หรือ WWW (World Wide Web)

อินเทอร์เน็ต(Internet) คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก

server คือเครื่องคอมพิวเตอร์หรือระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่ให้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง

www (World Wide Web) คือ เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก เรามักเรียกย่อๆกันว่า เว็บ คือรูปแบบหนึ่งของระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข่าวสาร ใช้ในการค้นหาข้อมูลข่าวสารบน Internet จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่ง ข้อมูลที่อยู่ห่างไกล ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด

เว็บไซต์ (Web Site) คือ แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและสื่อประสมต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง ข้อความ ของแต่ละบริษัทหรือหน่วยงานโดยเรียกเอกสารต่าง ๆ เหล่านี้ว่า เว็บเพจ (Web Page)

เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ

hypertext เป็นการจัดการหน่วยสารสนเทศในการติดต่อ ที่ผู้ใช้เลือกสำหรับสร้าง โดยมีลักษณะเช่นเดียวกับการเชื่อม (Link ) หรือ hypertext link

Cloud Computing คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจ

Cloud Computing คืออะไร

           คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็นเช่นไร

ประโยช์ของ  Cloud Computing ต่อธุรกิจ

1.ลด ต้นทุนค่าดูแลบำรุงรักษาเนื่องจากค่าบริการได้รวมค่าใช้จ่ายตามที่ใช้งาน จริง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมแซม ค่าลิขสิทธิ์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าอัพเกรด และค่าเช่าคู่สาย เป็นต้น
2.ลดความเสี่ยงจากการเริ่มต้นหรือทดลองโครงการ
3.มีความยืดหยุ่นในการเพิ่มหรือลดระบบตามความต้องการ
4.ได้เครื่องแม่ข่ายที่มีประสิทธิภาพ มีระบบสำรองข้อมูลที่ดี มีเครือข่ายความเร็วสูง
5.มีผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบและพร้อมให้บริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง

Google Apps คืออะไร มีประโยชน์และการใช้งานอย่างไร

Google Apps คืออะไร


Google Apps คือ แอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Google เพื่อให้บริการทางด้านการบริหารจัดการภายในองค์กร ซึ่งได้มีการรวมแอปพลิเคชัน ต่างๆ ที่ถือว่ามีความจำเป็นต่อองค์กรในปัจจุบันอันได้แก่
  • Gmail
  • Google Talk
  • Google Calendar
  • Google Documents เป็นต้น
 ประโยน์ของ Google Apps

  • การประหยัดค่าใช้จ่ายที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

แอปพลิเคชันการส่งข้อความและการทำงานร่วมกันที่ทำงานแบบเว็บของ Google ไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ และต้องการการดูแลระบบน้อยที่สุด สร้างเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิ
  • พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 50 เท่า

พนักงานแต่ละรายจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลอีเมลขนาด 25 กิกะไบต์ ดังนั้นจึงสามารถเก็บข้อมูลสำคัญและค้นหาได้ทันทีด้วยการค้นหาของ Google ที่มีอยู่ภายในระบบ

  • การเข้าถึงอีเมล ปฏิทิน และ IM บนโทรศัพท์มือถือ

ด้วยการใช้ตัวเลือกมากมายสำหรับการเข้าถึงข้อมูลขณะเดินทาง พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย Google Apps แม้ว่าจะไม่อยู่ที่โต๊ะของตนก็ตาม

  • รับประกันความน่าเชื่อถือของความพร้อมในการทำงาน 99.9%

เรารับประกันว่า Google Apps จะมีความพร้อมในการทำงานอย่างน้อย 99.9% ดังนั้นพนักงานของคุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น และคุณจะกังวลใจน้อยลงเกี่ยวกับการหยุดทำงานของระบบ

  • ความปลอดภัยของข้อมูลและเป็นไปตามข้อกำหนด

เมื่อคุณวางใจที่จะมอบข้อมูลของบริษัทแก่ Google คุณสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญของคุณจะปลอดภัย

  • การควบคุมการดูแลระบบและข้อมูลแบบสมบูรณ์

ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่ง Google Apps ในเชิงลึกเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านเทคนิค ตราสินค้า และธุรกิจของตนได้

  • การสนับสนุนลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงที่เป็นประโยชน์

Google Apps มีความน่าเชื่อถือในระดับสูงและทำงานได้อย่างง่ายดาย แต่การสนับสนุนมีให้สำหรับผู้ดูแลระบบ หากคุณต้องการใช้งาน

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Weblog มีประโยชน์อย่างไรกับแวดวงธุรกิจในปัจจุบัน

1.เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง
         
2.ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมา หลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
         
 3. กลั่นกรองข้อมูล blog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ
         
 4. รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น
         
 5. การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้
         
 6. ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เช่น www.terrystrek.com
         
7. โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย - ฝ่ายขวา,สายเหยี่ยว ­- สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง

การเปรียบเทียบอิทธิพลของ Social media กับ Traditional media ในยุคปัจจุบัน


Social Media
เป็นการสื่อสารส่งข้อมูลข่าวสารในรูปแบบใหม่ที่มีการสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถสื่อสารได้ 2 ทาง (Two-way Communication) สามารถกระจายผู้รับสื่อได้อย่างรวดเร็วจึงประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย มีข้อจำกัดในเรื่องของเครื่องรับสาร เช่น คอมพิวเตอร์ โดยต้องมีความรู้ในการใช้ด้วยเข้าถึงเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม เช่นE-mail Facebook/Fanpage Website Banner Youtube
Traditional media
เป็นการสื่อสารส่งข้อมูลในรูปแบบเดิมที่ไม่ผ่านระบบอินเตอร์เน็ท ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way Communication)สามารถกระจายข้อมูลในกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างและสะดวกต่อการเข้าถึงในพื้นที่ทีมีข้อจำกัดในการรับสื่อรูปแบบใหม่ มีต้นทุนสูง ล้าสมัย ล่าช้าและผู้รับสื่อไม่สามารถโต้ตอบกลับได้ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา

ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไรให้ปลอดภัย

Assignment 3#

 

1. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่บอกชื่อนามสกุลจริง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
2 ไม่ส่งหลักฐานส่วนตัวของตนเองและคนในครอบครัวให้ผู้อื่น เช่น สำเนาบัตรประชาชน เอกสารต่างๆ รวมถึงรหัสบัตรต่างๆ เช่น เอทีเอ็ม บัตรเครดิต ฯลฯ ให้กับผู้อื่น
3 ไม่ควรโอนเงินให้ใครอย่างเด็ดขาด นอกจากจะเป็นญาติสนิทที่เชื่อใจได้จริงๆ
4 ไม่ออกไปพบเพื่อนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต เว้นเสียแต่ว่าได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครอง และควรมีผู้ใหญ่หรือเพื่อนไปด้วยหลายๆ คน เพื่อป้องกันการลักพาตัว หรือการกระทำมิดีมิร้ายต่างๆ
5 ระมัดระวังการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต รวมถึงคำโฆษณาชวนเชื่ออื่นๆ



การใช้งานอินเทอร์เน็ต ที่ทันสมัยและสามารถประยุกต์ใช้งานกับชีวิตประจำวันให้เกิดประสิทธิภาพ

 

Assignment 2#

 การใช้งาอินเทอร์เน็ต ที่ทันสมัยและสามารถประยุกต์ใช้งานกับชีวิตประจำวันให้เกิดประสิทธิภาพ


1. ดู address bar ว่าเราเข้าเว็บไหนมาบ้าง
address bar คือตำแหน่งที่ใช้ในการพิมพ์ url ของ web site ต่าง ๆ เราสามารถดูได้ว่าเคยพิมพ์อะไรไปบ้าง โดยการกดปุ่ม keyboard F4 โปรแกรมจะแสดงรายละเอียดให้ทราบ
2. save URL ให้เร็วที่สุด
คุณสามารถกดปุ่ม keyboard Ctrl+D เพื่อ save ที่อยู่ใน web site ที่คุณดูอยู่ในปัจจุบันได้
3. ส่ง web ถูกใจไปให้เพื่อน 

ทราบหรือไม่ว่า web page ต่าง ๆ ที่เราแวะเข้าไป สามารถส่งไปให้เพื่อนดูได้ เพียงแค่เลือกเมนู File เลือก Send และเลือกหัวข้อ Page by Email แค่นี้เพื่อนท่านก็จะได้รับ web ที่มีหน้าตาเหมือนกับที่ท่านกำลังดูอยู่